หลักการทำงานของเครื่องผลิตออกซิเจน และการเลือกซื้อ Siam Oxygen
หลักการทำงานของเครื่องผลิตออกซิเจน และการเลือกซื้อ Siam Oxygen
เครื่องผลิตออกซิเจน Oxygen Concentrator คือ
อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการหายใจ หรือผู้ที่ต้องการออกซิเจน เนื่องจากมีปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำ ซึ่งเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า ประหยัดกว่า และสะดวกมากขึ้นกว่าการใช้ถังออกซิเจน ปัจจุบันเครื่องผลิตออกซิเจนถูกพัฒนาจนมีประสิทธิภาพ และมีเสถียรภาพสูง สามารถตอบโจทย์ผู้ป่วยที่ต้องการบำบัดด้วยออกซิเจนที่บ้านได้เป็นอย่างดี
หลักการทำงานของเครื่องผลิตออกซิเจน
หลักการทำงานของเครื่องผลิตออกซิเจนจะทำงานโดยอาศัยหลักการ หรือ PSA โดยเทคนิคนี้ จะใช้สารผลิตออกซิเจน Molecular Sieve หรือเรียกสั้นๆว่า Sieve Bed เพื่อทำการดูดซับไนโตรเจนออกจากอากาศ โดยไนโตรเจนจะยึดตัวติดกับผิวโมลีคูล่าซีฟ
เนื่องจากซีฟเบส Sieve Bed มีพื้นผิวขนาดใหญ่ (ลักษณะคล้ายๆแป้ง) และพื้นผิวนั้นเองสามารถดูดซับก๊าซไว้ได้ หลังจากนั้นไนโตรเจนจึงถูกผลักออกจากตัวเครื่อง และกักเก็บเฉพาะ อ๊อกซิเจน ไว้ที่ส่วนกลางของบัพเฟอร์ และจ่ายออกซิเจนออกมาทางช่อง Oxygen Outlet
โดยเครื่องผลิตออกซิเจนจะให้ค่าความเข้มข้นสูงสุดที่ 96% โดยส่วนมากจะมีการสวิงขึ้นลงบ้างตามจังหวะที่มีการ leak ลมออก โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ 87-96% ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศที่ใช้งานด้วยเช่นกัน
อายุการใช้งานของสาร ซีโอไลท์ (zeolite) หรือ Sieve Bed นั้นโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 10,000 - 30,000 ชั่วโมง นับจากชั่วโมงการใช้งานของเครื่อง จะมีการแสดงผลส่วนนี้บริเวณจอแสดงผล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรุ่นและแบรนด์ที่ผลิตด้วยว่าการันตีที่เท่าไหร่ อีกส่วนคือสภาพอากาศ ฝุ่น สารเคมี ความชื้น ที่อยู่รอบๆบริเวณที่ใช้งานตัวเครื่องก็อาจส่งผลให้อายุการใช้งานอาจมีการคลาดเคลื่อนจากเดิมได้
เครื่องผลิตออกซิเจนมีกี่ประเภท ?
เครื่องผลิตออกซิเจนจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทการใช้งาน
1. Continuous Flow การจ่ายออกซิเจนแบบต่อเนื่องโดยใช้ตัวควบคุมแรงดันลมด้วยระบบคอมเพลสเซอร์ สามารถปรับอัตราการไหลหรือแรงดันลม มีหน่วยเป็นลิตรได้ตั้งแต่ 1 - 10 ลิตร/นาที ขึ้นอยู่กับสเปคเครื่อง
2. Pulse Dose การจ่ายออกซิเจนที่แบ่งออกเป็น ช็อต โดยจะมีเซนเซอร์จับจังหวะการหายใจบริเวณทางออก Oxygen Outlet ควบคุมการจ่ายออกซิเจนด้วยเซนเซอร์ ลักษณะนี้มักจะมีในเครื่องผลิตออกซิเจน ชนิดพกพา
นอกจากการใช้งานแบบออกซิเจนเพียวๆแล้ว เครื่องผลิตออกซิเจน ยังใช้เป็นส่วนเสริมเครื่อง CPAP Bipap และ ร่วมกันรักษาการหยุดหายใจขณะหลับ โรคถุงลมโป่งพอง โรคปอด และโรคทางเดินหายใจอื่นๆ ในการเลือกซื้อเครื่องผลิตออกซิเจนนั้น ก่อนอื่นจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะเลือกซื้อ ว่าใครใช้ในปริมาณเท่าใด เพื่อความเหมาะสม และปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน
เครื่องผลิตออกซิเจน มีกี่ชนิด และแต่ละแบบเหมาะกับการใช้งานแบบไหนบ้าง ?
โดยผมจะแยกสรุปเป็นหมวดหมู่ดังนี้
1. เครื่องผลิตออกซิเจน ชนิดที่ใช้งานภายในบ้านขนาด 3-10 ลิตร/นาที
เครื่องผลิตออกซิเจนประเภทนี้จะมีขนาดกลาง - ใหญ่ แล้วแต่รุ่น นิยมใช้สำหรับผู้ป่วยที่ต้องพักรักษาตัวภายในบ้าน
จะมีหลายขนาด เริ่มตั้งแต่ 3 ลิตร/นาที ไปจนถึง 10 ลิตร/นาที ซึ่งลักษณะการใช้งานก็จะแตกต่างกันไป จะสรุปให้ทุกท่านได้อ่านในหัวข้อถัดไป
ว่าแต่ละขนาดเหมาะกว่าใคร ก่อนอื่นผมขอตอบคำถามยอดฮิตที่สำหรับผู้ที่เลือกซื้อไปใช้งานครั้งแรก มักจะสงสัย และถามกันอยู่ประจำ
เครื่องผลิตออกซิเจน 3 ลิตร กับ 5 ลิตร ต่างกันอย่างไร ?
3 ลิตร หมายถึงการปรับอัตราการไหลของออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายต่อนาทีเป็นจำนวนลิตร นั่นคือปรับได้สูงสุด 3 ลิตร ต่อนาที (1-3 ลิตร) โดยที่ค่าออกซิเจน ยังได้ในระดับคงที่มาตราฐาน 93 +/- 3% (ออกซิเจนไม่ดรอป)
5 ลิตร หมายถึงการปรับอัตราการไหลของออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายต่อนาทีเป็นจำนวนลิตรนั่นคือปรับได้สูงสุด 5 ลิตร ต่อนาที (1-5 ลิตร) โดยที่ค่าออกซิเจน ยังได้ในระดับคงที่มาตราฐาน 93 +/- 3% (ออกซิเจนไม่ดรอป)
นั่นหมายถึงว่าต่างกันที่การปรับอัตราการไหลได้สูงสุดต่อนาที ถ้าพูดภาษาบ้านๆก็คือ แรงลมของออกซิเจนที่ออกมาสูงสุด โดยที่ค่าออกซิเจนคงที่ 93 +/- 3% ไม่ดรอปลงนั่นเอง
Trick : ปริมาณออกซิเจนที่ปรับให้ในแต่ละระดับเมื่อไปถึงปลายสายก็จะให้ความเข้มข้นที่แตกต่างกันด้วยนะครับ
ดูข้อมูลได้จากตารางอ้างอิงนี้ (%ออกซิเจนที่ได้จากอุปกรณ์ต่างๆนั้น ค่าออกซิเจนจากต้นทางต้องมีปริมาณที่มากกว่า 85% ขึ้นไป)
อ่านมาถึงตรงนี้ก็พอจะเข้าใจหลักการกันบ้างแล้ว งั้นขอเข้าเรื่องว่าขนาดลิตร แต่ละรูปแบบเหมาะกับใคร ใครควรใช้ ใครไม่ควรใช้
(1.)เครื่องผลิตออกซิเจน ขนาด 3 - 6 ลิตร / นาที
เป็นขนาดที่นิยมใช้ในวงการแพทย์แพร่หลาย เนื่องจากผู้ป่วยที่ต้องกับไปพักรักษาตัวที่บ้าน ส่วนใหญ่มักนิยมให้ออกซิเจน ด้วยสาย Nasal Cannula
ซึ่งในทางการแพทย์จะกำหนดให้ใช้ได้ ไม่เกิน 6 ลิตร/นาที เนื่องจากหากเกินมากกว่านั้น โพรงจมูกจะอักเสพ และอาจจะทำให้เลือกกำเดาไหลออกมาได้อาจเกิดอันตรายต่อการใช้งานได้
สำหรับการให้ออกซิเจนในระดับ 0.5-6 ลิตร/นาที ให้ความเข้มข้นออกซิเจนที่ปลายสาย 21-44% นั้นเหมาะกับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ รวมไปถึงโรคอื่นๆ ที่มีปัญหาทางเดินหายใจ หอบเหนื่อยหายใจไม่สะดวก
ก็ขึ้นอยู่กับว่าแพทย์สั่งว่าควรใช้ในปริมาณไหน แต่ให้จำไว้ว่า Nasal Cannula ใช้เครื่องสเปค 5 ลิตร/นาที ก็เพียงพอแล้ว
ผู้ป่วยต้องพ่นยาด้วย จำเป็นต้องใช้เครื่องขนาด 8-10 ลิตรมั้ย ?
การพ่นยานั้นปกติจะแยกกันคนละส่วนกับการให้ออกซิเจน ซึ่งหลักการพ่นยาคืออาศัยแรงอัดอากาศเพื่อให้ตัวยาระเหยเป็นไอละออง โดยส่วนมากหากใช้งานเองที่บ้าน สามารถใช้เป็นเครื่องพ่นยาที่มีทั้งแบบพกพา และแบบปกติ ราคาไม่สูงมาก (คลิ๊กเพื่อดูเครื่องพ่นละอองยา) หรืออีกรูปแบบคือใช้ฟังก์ชั่นพ่นละอองยาในเครื่องผลิตออกซิเจน โดยส่วนมากจะมีติดมากับเครื่องตั้งแต่สเปค 3 ลิตร/นาที - 10 ลิตร/นาที
ปัจจุบัน เครื่องผลิตออกซิเจน ก็นิยมใช้กับคนทั่วไป (ไม่ได้ป่วย) และในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีภาวะเหนื่อยง่ายตามสภาพแวดล้อม และอากาศในปัจจุบัน หรือบางท่านที่อาจรู้สึกอ่อนเพลีย อันเนื่องมากจากสภาพอากาศ หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ออกซิเจนดรอป ก็สามารถให้ออกซิเจนได้เหมือนกัน โดยจะให้ในปริมาณเล็กน้อย และให้ระยะเวลาที่ไม่นาน เพื่อให้รู้สึกสดชื่น หรือสามารถนอนหลับได้ง่ายขึ้น

ซึ่งแบบดังกล่าวก็จะครอบคลุมขึ้นมาอีกขั้น สามารถใช้ผ่านสาย Cannula ในแบบเครื่องผลิตออกซิเจน 3 ลิตร 5 ลิตร/นาที ก็ได้ แต่ควรปรับไม่เกิน 6 ลิตร/นาที ความเข้มข้นออกซิเจน 21-44%

ซึ่ง Mask With Bag หรือ Oxygen Mask ซึ่งต้องใช้อัตราการไหลที่ 6 ลิตร/นาที ขึ้นไปเพื่อให้ปริมาณการจ่ายออกซิเจน เข้าไปที่หน้ากากเพียงพอต่อการใช้งาน
ผู้ป่วยอีกประเภทที่นิยมนำไปใช้ คือผู้ป่วยเจาะคอ ที่ใช้ หน้ากากแบบครอบคอ (Tracheostomy Mask) แต่มีข้อยกเว้นว่าต้องเป็นการต่อกับกระปุกน้ำทำความชื้นแบบธรรมดา และไม่สามารถต่อกับกระปุกปรับ % ทำความชื้นได้ (ท่องวงช้าง)


เครื่องลักษณะนี้ จะเป็นชนิดพิเศษกว่ารุ่นอื่นๆ เพราะสามารถใช้งานได้ครอบคลุมกับทุกประเภท และใช้งานกับอุปกรณ์ออกซิเจนได้ทุกรูปแบบ

ซึ่งไม่ตรงกับสเปคของเครื่อง และอาจจะไม่เพียงพอต่อการใช้งาน
หากท่านที่จำเป็นต้องใช้เครื่องผลิตออกซิเจนเพื่อบำบัด ตามคำแนะนำของแพทย์ หรืิอจะซื้อมาเพื่อสำรองไว้ยามฉุกเฉินก็ตามแต่
การใช้เครื่องผลิตออกซิเจนที่ใช้ภายในบ้านก็ถือเป็นอีกทางเลือกสำหรับท่าน แต่หากยังไม่แน่ใจว่าจำเป็นต้องใช้หรือป่าว แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เบื้องต้น

เครื่องผลิตออกซิเจน แบบพกพา ถือเป็นอีกทางเลือกในการให้ออกซิเจนผู้ป่วย แต่ในเครื่องแบบพกพา มักจะมีข้อจำกัด ไม่เหมือนเครื่องที่ใช้ภายในบ้าน และมีราคาค่อนข้างสูง หากท่านใดที่ยังไม่ได้เคยใช้งานออกซิเจนมาก่อน แนะนำว่าควรมีเครื่องที่ใช้ภายในบ้านเป็นหลักก่อน แล้วค่อยพิจารณาอีกครั้งก่อนที่จะดูเครื่องผลิตออกซิเจนพกพาครับ
เครื่องพกพาจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

เครื่องทำการปล่อยออกซิเจนแบบต่อเนื่องลักษณะคล้ายกับเครื่องที่ใช้งานภายในบ้าน แต่สามารถต่อไฟรถได้ และมีแบตเตอรี่ใช้ในการสแตนบาย
แต่ข้อจำกัดของเครื่องพกพาชนิดนี้ ก็มีมากพอสมควร
ยกตัวอย่างในเรื่องของอัตราการไหล กับความเข้มข้นจะสวนทางกัน เช่น หากเราปรับอัตราการไหลมากกว่า 1 ลิตร/นาที จาก 1 ลิตร ไปที่ 2-5
ออกซิเจนจะดรอปลงตามลำดับแรงลม จนเหลือความเข้มข้นที่ต่ำสุดประมาณ 40% (ที่ 5 ลิตร/นาที) จาก 93 +/- 3% (ที่ 1 ลิตร/นาที)
จะไม่สามารถสแตนบายได้นาน เพราะระบบเครื่องยังคงกินกำลังไฟพอสมควร เพราะต้องปล่อยออกซิเจนแบบต่อเนื่อง และการออกแบบเครื่องยังคงมีขนาดที่ไม่ถึงกับเล็กมาก น้ำหนักอยู่ที่ราวๆ 5-8 กก. เหมาะกับการใช้งานชั่วคราว
เครื่องในลักษณะนี้จะค่อนข้างทำงานได้อย่างซับซ้อนกว่ารุ่นแรก ระบบการทำงานค่อนข้างอัจฉริยะ
การทำงานของเครื่องลักษณะ Pulse Dose เครื่องจะทำการจับชีพจรลมหายใจของผู้ใช้งาน ก่อนจะปล่อยออกซิเจนออกมาในจังหวะผู้ใช้งานหายใจเข้า
ซึ่งระบบนี้จะไม่ได้นับตามจำนวนลิตร เนื่องจากการจ่ายออกซิเจนจะขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานหายใจช้า หรือเร็ว แต่จะสามารถ Set ค่าความแรงของลมได้ 1-5 ระดับ

ข้อดีของเครื่องผลิตออกซิเจนพกพา ระบบ Pulse Dose คือผู้ใช้งานจะได้รับออกซิเจนอย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
ถ้าเปรียบเทียบกับเครื่องพกพา แบบ Continues Dose ที่ปล่อยแบบต่อเนื่อง เปรียบเสมือนเวลาที่เราเปิดน้ำดื่มจากก็อก ที่ไหล 1 ลิตร/นาที แต่ในความเป็นจริง เราไม่สามารถดื่มน้ำในก็อกได้ตลอด 1 นาที
ซึ่งหากเป็นแบบ Pulse Dose คงเปรียบเหมือนเทน้ำใส่แก้ว แล้วค่อยๆ จิบน้ำในแก้วได้ตามที่เราต้องการแบบพอดี
ทั้งนี้ก็ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านบทความ ที่ผมเขียนขึ้นจากสเปคของแต่ละเครื่อง และประสบการณ์ในการจำหน่ายเครื่องผลิตออกซิเจน
หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ช่องทาง Line หรือ โทรสอบถามได้ตลอด ยินดีให้คำปรึกษาทุกท่าน
รายละเอียดเพิ่มเติม https://citly.me/TFeCu
03 มีนาคม 2568
ผู้ชม 37 ครั้ง